คนญี่ปู๊น คนญี่ปุ่น

เรื่องราวแปลกๆของคนญี่ปุ่น ที่มันช่างญี่ปู๊นญี่ปุ่น จนทำให้คนไทยอย่างผม งงงวยไปกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างยอมรับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หรือต้องทนยอมรับบ้าง

Wednesday, January 11, 2006

ตอนที่ 2: อันเนื่องมาจากทริปสกี

ต้องรีบมาเขียนก่อนที่จะเปลี่ยนโหมดความคิดจากการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดสองอาทิตย์ของปิดเทอมฤดูหนาวที่ผ่านมา เป็นการคร่ำเคร่งกับการทดลองและงานวิจัยที่ยากแสนยาก (แต่ก็ยังดั้นด้นเรียนมันเข้าไป) ปิดเทอมหน้าหนาวปีนี้เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เป็นปิดเทอมหน้าหนาวที่แทบจะไม่มีเวลาได้เหงาเลย เพราะมีเพื่อนมาพักที่บ้านเกือบสิบวัน เลยต้องทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น(อีกแล้ว)พาเที่ยวแถบคันไซ จากนั้นก็ฉลองปีใหม่อย่างต่อเนื่อง และปิดท้ายด้วยทริปสกีใหญ่ที่ได้เขียนไปแล้วนั่นเอง แล้วก็เพราะไอ้เจ้าทริปสกีนี่แหละที่ทำให้ผมได้เรื่องแบบฉบับคนญี่ปู้น คนญี่ปุ่น มาเขียนอีกจนได้ (จริงๆมันมีอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้สะกิดใจมากเท่าไหร่)

ทริปสกีคราวนี้ถือได้ว่าเป็นการไปเล่นสกีที่สนุกที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เพราะว่า Hakuba Goryu&47 เป็นลานสกีที่ดีที่สุด (เพราะคอร์สที่นี่มีไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ เช่น Nosawa Onsen แต่เหมาะสำหรับเด็กหัดใหม่มาก เพราะลานค่อนข้างกว้างและลานสีแดงก็ไม่ยากจนเกินไป) หรือเพราะว่า ได้อุปกรณ์สกีที่ดีมาและราคาถูกอย่าง Salomon แต่นั่นเป็นเพราะว่าผมได้มิตรภาพจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไทยทั้ง 70 กว่าคนจากต่างถิ่นกันในแดนปลาดิบนี้มาร่วมวงไถลสกีด้วยกันต่างหาก (แม้ที่บอกว่าจะเป็นเหตุผลที่ประกอบกันด้วยก็ตาม) แต่ถึงจะเป็นทริปสกีแห่งความทรงจำดีๆมากมายก็ตาม แต่ก็มีความทรงจำแย่ๆที่ทำให้หงุดหงิดอยู่เรื่อยๆไม่น้อยเช่นกัน

เริ่มต้นจากความหงุดหงิดที่หนึ่ง ก็คือการที่คนขับรถบัสลืมมารับพวกเราทั้ง 13 ชีวิตที่เกียวโต ออกจากโอซาก้า แล้วพุ่งฉิวขึ้นทางด่วนไปเลย ดีนะที่โทรไปถามเพื่อนพ้องโอซาก้า ทำให้ได้ใจความว่าบริษัททัวร์ที่ชื่อว่า Orion Tour มันไม่ได้บอกคนขับรถว่าต้องมารับคนต่อที่เกียวโต ตอนแรกก็คิดว่า คนขับรถทัวร์สัญชาตินี้มันจะไม่ฉงนใจ หรือคิดหน่อยเลยหรือว่า คนมันไม่เต็มรถอย่างนี้ มันจะคุ้มกับค่าน้ำมันที่ขับเหรอ แต่พอมาคิดได้ว่าพวกเราเหมารถไปทั้งคัน เพราะจำนวนคนมันเต็มที่นั่งพอดี ก็เลยไม่อยากจะไปต่อว่าอะไรมากมาย เพียงแต่นึกได้ว่า นี่ละที่เป็นญี่ปู้น ญี่ปุ่น ข้างบนสั่งมาอย่างไร สั่งให้ขับก็ขับไป บอกมาแค่ไหน ก็ทำแค่นั้น ทำเต็มที่นะ แต่ทำเท่าที่ได้รับคำสั่ง ถ้าเกิดว่าคนขับรถเพียงแค่เอ่ยปากถามใครสักคนจากโอซาก้าว่า มีไปรับต่อที่ไหนมั้ย อย่างไร พวกเราเด็กเกียวโตคงจะไม่ต้องหนาวสั่น งานนี้ไม่อยากจะโทษว่าใครถูกใครผิด แต่บริษัททัวร์นี่ผิดเต็มๆที่ไม่บอกอะไรคนขับรถเลย แต่ในความโชคร้ายก็ทำให้เราพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โอกาสที่ได้เล่นบอลลูน การละเล่นสมัยประถม ไปพลางๆกว่าชั่วโมงครึ่ง นั่นเอง

หลังจากที่เรามาถึงบริเวณลานสกีประมาณหกโมงครึ่ง (ซึ่งถือว่าเร็วใช้ได้ทีเดียว ขอบคุณคนขับที่สลับกันหลับและขับได้อย่างเยี่ยมยอด) เอากระเป๋าไปวางที่โรงแรมอะไรเรียบร้อย ก็มาเตรียมเช่าชุดและอุปกรณ์สกี ซึ่งก็เป็นต้นเหตุของความหงุดหงิดที่สอง นั่นก็คือ เนื่องจากพวกเรามากันเป็นหมู่คณะ ทางบริษัททัวร์ออกใบที่เอาไว้สำหรับการเช่าอุปกรณ์ไว้แค่สองใบ นั่นคือ หนึ่งใบของเด็กโตเกียว และอีกใบของเด็กคันไซ สตาฟฟ์ที่ Escal Plaza เลยแบ่งพวกเราเป็นสองแถว แถวละสามสิบ สี่สิบคน เหมือนจะดูดีเป็นระเบียบ แต่มันทำให้เราได้รับอุปกรณ์ช้ามากๆ โดนพวกคนญี่ปุ่นที่มาทีหลังแต่จำนวนน้อยกว่า แซงไปเข้าเคาน์เตอร์ที่เหลือ ไม่รู้กี่สิบคน พวกเราก็รอกันครับ ชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ แถมมีการมาบอกอีกว่าสกีสั้นที่อยากจองนั้นอาจจะไม่พอ ทำให้เราใจตุ้มๆต่อมๆอีกต่างหาก แม้ว่าแถวของโตเกียวจะหมดไปแล้ว เพราะพวกโตเกียวมาต่อแถวก่อนและจำนวนคนน้อยกว่าเด็กคันไซ พวกสตาฟฟ์ก็ไม่ยอมตัดแถวเราไป ทั้งๆที่มาก่อน ทั้งๆที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องต่อแถวเดียวกัน เพราะใบที่ว่านั้น ก็ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ผมซึ่งอยู่ปลายๆแถว ต้องรอจนไม่มีคนญี่ปุ่นอื่นๆอีกมาต่อแล้ว ถึงตัดสินใจเปลี่ยนเคาร์เตอร์เองเลย แล้วก็ต่อว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นในแบบฉบับของผมเข้าไปยกหนึ่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่ทำอย่างนี้เพราะว่าความเป็นคนญี่ปู้น ญี่ปุ่นของเค้า หรือเห็นเราเป็นกระเหรี่ยงชาวสยามขี่ช้างกันแน่ เอาเป็นว่าต่อว่าไปเรียบร้อยครับ

ต่อจากนั้น ความหงุดหงิดต่างๆก็แทบจะหมดไปครับ จากการที่ได้เล่นสกีสมใจสักที วันแรกก็สอนน้องๆหัดใหม่ทั้งหลาย ล้มลุกคลุกกลิ้งกันตามระเบียบ เล่นสกีไม่ล้ม ไม่มีวันเก่งแน่นอน หลายคนอาจจะเพ้อเป็นคำว่าสามเหลี่ยมไปอีกหลายคืน เพราะได้ยินคำนี้ตลอดทั้งวัน พอถึงตอนเช็กอินตอนเย็น บริษัททัวร์เจ้าเก่าก็ทำพิษอีกแล้วเป็นความหงุดหงิดที่สาม ที่เปลี่ยนโรงแรมของสี่สาวนาโงย่าเฉยซะงั้น ทำเอาอึ้งเป็นรอบที่ล้านแปดกับความมั่วซั่วของ Orion tour จริงๆ

แต่อย่างไรก็ดี ในความหงุดหงิดก็มีความอบอุ่นจากคุณป้าเจ้าของโรงแรม Sejour Mint ที่มีให้กับพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่แสนอร่อย ห้องนอนและห้องอาบน้ำที่สะดวกสบาย และที่สำคัญคือความช่วยเหลือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ให้เราวางข้าวของสัมภาระได้โดยไม่ต้องเสียค่า Early Check-in และ Late Check-out รวมไปถึงการที่คุณลุงขับรถไปส่งเฮียต้าผู้บาดเจ็บถึง Escal Plaza ซึ้งในน้ำใจมากๆ (ไม่เคยได้รับการดูแลจากเจ้าของโรงแรมดีๆอย่างนี้แถวๆลานสกีเลย ประทับใจมากจริงๆ) แต่ในความน่ารักนี้ ก็มีความญี่ปู้น ญี่ปุ่นจากคุณป้าอีกคนในมื้ออาหารเช้าของวันสุดท้าย เนื่องจากโต๊ะที่ผมนั่งยังมากันไม่ครบ แล้วก็นั่งกันกระจัดกระจาย และก็มีคนป่วยของทริปนั่งอยู่ด้วย ป้าก็เข้ามาถามอยู่เรื่อยๆว่าคนยังไม่ครบ ยังไม่เสิร์ฟอาหารนะ ผมก็คิดในใจว่าเสิร์ฟก่อนมันจะเป็นอะไรล่ะเนี่ย เพราะท่านต้าก็ปวดข้อมากๆจนอยากจะกินข้าวให้เสร็จๆ ก็เลยบอกป้าว่าขอเสิร์ฟก่อนเลยได้มั้ย ป้าก็บอกว่าให้นั่งมาชิดๆกันข้างใน จะได้เสิร์ฟทีเดียว ผมก็อืม ทำไมหว่า??? มันต่างกันอย่างไร กว่าป้าจะคิดได้ว่ามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่แล้วเอาอาหารมาเสิร์ฟ ก็ทำเอาพวกเราเอ๋อไปกับความคิดของป้าแบบญี่ปู้น ญี่ปุ่นนี้เสียจริง

ความหงุดหงิดต่างๆนี้หายไปหมด ทันทีที่ได้ใส่สกี ทริปนี้สนุกประทับใจมาก วันที่สองที่สามก็เล่นท่วงท่าบ้าง ลุยเส้นแดงเส้นดำบ้าง สนุกสนานกันไป แม้จะมีเรื่องน่าอับอายกับการล้มเพราะไถลถอยหลังแล้วลืมดูทาง เลยทำให้ขาแหก 180 องศา ให้ผู้คนได้เป็นประจักษ์พยานกันมากมาย แล้วก็ทำให้รู้ว่าเด็กไทยเรามีสติดีมาก แทนที่จะมาช่วยผมเอาไม้สกีออกจากเสาที่ติดอยู่ คำพูดแรกที่ได้ยินนั่นก็คือ "หยุดๆอย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวถ่ายรูปก่อน" ...